หากพูดถึงรถยอดนิยมในประเทศไทยที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย คงหนีไม่พ้นรถกระบะ เพราะไม่ว่าจะเป็นใช้เดินทางทั่วไป ขนของหรือลุยวิบาก รถกระบะล้วนตอบโจทย์ได้ทั้งสิ้น และที่สำคัญคือแข็งแกร่ง ทนทานมากกว่ารถประเภทอื่นๆ จึงถูกเลือกมาใช้เป็นจำนวนมาก
และด้วยความสามารถในการใช้งานที่หลากหลายนี้ ปัจจุบันจึงมียางรถกระบะให้เลือกมากมายตามวัตถุประสงค์การขับขี่ ดันลอปจึงจะพาทุกท่านไปดูวิธีการเลือกยางรถกระบะว่าควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
เทคนิคการเลือกยางรถกระบะให้ตอบโจทย์การใช้งาน
1. เลือกขนาดยางให้เหมาะสมกับรถ
การเลือกยางรถกระบะให้พอดี ผู้ขับขี่สามารถอ้างอิงขนาดยางที่เหมาะสมได้จากคู่มือรถ หรือสติกเกอร์แนะนำยางรถยนต์ ซึ่งมักถูกติดอยู่บริเวณประตูฝั่งคนขับหรือฝาถังน้ำมัน ยกตัวอย่างเช่น มีขนาดยางที่เหมาะสมคือ 245/65R17 โดยสามารถอธิบายเลขและตัวอักษรต่างๆได้ดังนี้
เลข 2ุุุ65 คือ ความกว้างของหน้ายางโดยมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
เลข 60 คือ อัตราส่วนความสูงของแก้มยางต่อความกว้างหน้ายางโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
ตัวอักษร Rคือ โครงสร้างของยางแบบเรเดียล ซึ่งเป็นโครงสร้างที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
เลข 18คือเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ เพื่อบ่งบอกถึงขนาดกระทะล้อที่สามารถใส่ได้ โดยมีหน่วยเป็นนิ้ว

2. เลือกประเภทของยางรถกระบะให้ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
โดยทั่วไปยางรถกระบะ ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักแตกต่างไปตามการใช้งานดังนี้
All-Terrain (A/T) เป็นยางอเนกประสงค์ใช้ได้กับทั้งการขับขี่บนถนนทั่วไปหรือออฟโรดเบาๆ ด้วยดอกยางที่มักถูกออกแบบมาให้มีความหนาใหญ่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะได้ดีมากยิ่งขึ้น
Highway Terrain (H/T) เป็นประเภทยางรถกระบะที่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่เน้นบรรทุกของ เนื่องจากยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบาย นุ่มนวลช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างขับขี่
Mud-Terrain (M/T) เป็นยางเหมาะสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด โดยเฉพาะบนพื้นดินโคลน มีหินกรวด ด้วยดอกยางขนาดใหญ่และร่องดอกยางลึก ช่วยให้ลุยทางลาดชันได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
Extreme-Terrain (X/T) เป็นกลุ่มยางออฟโรดที่แข็งแกร่งมากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลุยเส้นทางออฟโรดแบบโหดๆ เนื่องจากมีดอกยางที่หนาแข็ง และร่องดอกยางลึกมากที่สุด

3. เลือกประเภทดอกยางให้ตรงตามสไตล์การขับขี่
ดอกยางคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1. ดอกยางละเอียด (Rib Pattern) เป็นดอกยางเรียงเป็นแถวยาว มีประสิทธิภาพช่วยรีดน้ำได้ดี เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนทางเรียบในเมืองทั่วไป
2. ดอกยางแบบบั้ง (Lug Pattern) มีลักษณะร่องยางและดอกยางเป็นแนวขวางกับเส้นรอบวงของยาง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ตะกุยได้ดี เหมาะสำหรับการใช้งานบนพื้นผิวขรุขระ
3. ดอกยางผสม (Rib-Lug Pattern) คือยางที่มีการผสมดอกยางละเอียดและดอกยางแบบบั้งเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทั้งบนพื้นเรียบและพื้นขรุขระได้ในเส้นเดียว
4. ดอกยางแบบบล็อก (Block) เป็นลักษณะของดอกยางก้อนบล็อกเหลี่ยมหรือกลม แข็งแกร่ง และมีแรงตะกุยสูง เหมาะกับการใช้งานบนพื้นดิน ทราย หรือออฟโรด ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานบนถนนเรียบ
4. เลือกดัชนีการรับน้ำหนักให้พอดี
หากต้องการใช้รถกระบะเพื่อบรรทุกสิ่งของหรือโดยสารผู้โดยสารมากกว่าปกติ ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index) หรือ ประสิทธิภาพการรับน้ำหนักของยางรถกระบะที่สามารถรองรับได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการบรรทุกจริง
ยกตัวอย่างเช่นเลือกใช้ยางขนาด 245/65R17 107H ซึ่งตัวเลข 107 นี้คือค่าดัชนีการรับน้ำหนัก เมื่อนำไปเทียบในตารางดังภาพด้านล่างจะพบว่า ยางเส้นนี้สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 975 กิโลกรัมต่อล้อ หมายความว่าถ้าหากใช้ยางไซส์นี้ทั้งหมด 4 ล้อ จะสามารถรับน้ำหนักการบรรทุกรวมตัวรถได้สูงสุด 975×4 เท่ากับ 3,900 กิโลกรัม
5. เลือกดัชนีความเร็วให้เหมาะสม
ดัชนีความเร็วของยาง (Speed Rating) คือค่าที่บ่งบอกถึงความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถรับได้ ซึ่งถ้าหากใช้ความเร็วเกินกว่าที่กำหนด อาจะส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างขับขี่ได้
ยกตัวอย่างเช่น ยางรถกระบะที่ใช้อยู่มีขนาด 245/65R17 107H สังเกตไปที่อักษร H คือตัวอักษรที่บอกถึงดัชนีความเร็ว ซึ่ง H มีค่าอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หมายความว่ายางเส้นนี้สามารถรองรับการใช้งานด้วยความเร็วได้สูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ควรเกินไปกว่านี้
วิธีการดูแลยางรถกระบะ
นอกจากการเลือกใช้ยางรถจะสำคัญแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้ก็คือ การดูแลรักษายางและตรวจเช็กสภาพยางอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถใช้งานยางได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งวิธีการดูแลมีดังนี้
1.การตรวจลมยาง
ควรต้องมีการตรวจสอบลมยางอยู่เสมอ ว่ายางอ่อนไปหรือไม่ ซึ่งสถานที่เติมลมอย่างส่วนใหญ่ก็สามารถวัดได้ว่ายางมีลมอยู่เท่าไหร่ ถ้ายางอ่อนก็ควรเติมทันที เพื่อป้องกันการเสียดสีของยาง อาจทำให้ยางสึกหรือแตกได้เมื่อต้องบดอยู่บนถนน
2.การตรวจสอบอายุการใช้งานของยาง
เมื่อใช้งานไปสักระยะควรดูว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางรึยัง ซึ่งควรตรวจยางทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรืออาจสังเกตว่าลายดอกยางนั้นจางลงมากหรือไม่ รวมถึงการเบรก การขับบนถนนเปียก ยางเกาะถนนได้ดีอยู่หรือไม่
3.การล้างยาง
การล้างยางถือเป็นการดูแลรักษาหลายคนอาจมองข้ามไป แต่การล้างยางนั้น จะช่วยล้างคราบสกปรกอย่างเศษดิน เศษหิน ออกจากผิวยาง จะทำให้ยางมีการใช้งานได้นานขึ้น และลดเสียงดังจากยางเวลาขับขี่ได้ โดยควรล้างยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง